วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2552

ตำนานเทพเจ้ากรีก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว โดยปราศจากชื่อและรูปทรงใดๆ มีเพียง ความยุ่งเหยิงวุ่นวาย-Chaos(ความว่าง, เทพแห่งการทำลาย) เป็นอิสระจากความเกิด และความดับสูญ จากทั้งกาละเทศะ จากรูปแบบ และเงื่อนไขใดๆ ซึ่งทำให้ทุกสิ่งสับสนอลหม่าน จากความว่างอันเป็นนิรันดร์ Chaos ได้ตกตะกอนให้กำเนิด หลุมดำ-Erebus(เทพแห่งความมืด) ซึ่งหมายถึงเหวลึกที่เป็นที่อยู่ของความตาย และ กลางคืน-Nyx(เทพีราตรี) ซึ่งทั้งสองก็ไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรให้เกิดขึ้นเลย จำเนียรกาลผ่านไปไม่นาน ก็พลันปรากฏสิ่งดีงามลอยขึ้นมาจาก Chaos นั่นก็คือ Eros(ความรัก) และความรักก็เปล่งประกายแสงสว่าง-Aether(อีเธอร์,เทพแห่งแสงสว่าง)ไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ทำให้เกิดกลางวัน-Hemera (เทพีกลางวัน) และเนรมิต ผืนแผ่นดินกับทะเล(Pontus) ให้ปรากฏขึ้นมา และทันใดนั้น Gaea,Gaia,Ge(โลก,ผืนแผ่นดิน){เป็นรากศัพท์ของคำว่า Geography วิชาภูมิศาสตร์} ก็ลืมตาตื่นจากการหลับไหล และChaos ก็สูญสลาย ส่วนที่เหลือก่อกำเนิดเป็นที่ว่างกว้างใหญ่ลอยอยู่เหนือ Gaia เรียกว่า Ouranos(สวรรค์) {เป็นที่มาของชื่อดาวมฤตยู Uranus}เจ้าแห่งท้องฟ้า

กายาร่ายรำออกมาและม้วนกายของพระนาง เป็น พิภพที่หมุนคว้าง พระนางก่อรูปขุนเขาตามแนวกระดูกสันหลัง และหุบเขาก็เกิดจากรอยเว้าของเนื้อหนัง ส่วนเนินเขาและทุ่งราบอันกว้างไกลเล่า ก็ขึ้นลงตามรูปลักษณ์ของพระนาง ความชุ่มชื้นของพระนาง ก่อกำเนิดหยาดน้ำฟ้าอันชุ่มฉ่ำ หล่อเลี้ยงพื้นผิวและให้กำเนิดสรรพชีวิต สัตว์น้อยๆพลิ้วไหวไปมาในสระน้ำกระเพื่อมแผ่ว พืชพันธุ์งอกเงยจากรูขุมขนของพระนาง เติมมหาสมุทรและหนองบึงให้เต็ม เปิดทางให้แม่น้ำไหลรี่ผ่านริ้วรอยย่น พระนางกายาเฝ้าดูแลให้พืชพันธุ์และสัตว์น้อยใหญ่เจริญวัย กายาผู้เป็นพระแม่ธรณี มอบของขวัญผ่านผิวพรรณของพระนางและรับผู้ล่วงลับดับสูญคืนสู่ร่างอย่างมิมีหยุดหย่อน ดังนี้พระนางจึงเป็นที่บูชาของเหล่าผู้มีอันดับสูญ ผู้ถวายน้ำผึ้งและขนมปั้นให้แก่พระนาง วางทิ้งไว้ในหลุมก่อนจะเก็บเกี่ยว ทั้งยังสร้างพระวิหารใกล้รอยแยกแห่งแผ่นดิน เพื่อบวงสรวงถวายขนมหวานคืนสู่พระครรภ์ ในความมืดมิดภายในพระครรภ์นี้แล กายารับของบูชาจากเหล่าผู้มีอันดับสูญ

Gaea และ Ouranos ให้กำเนิดลูกออกมากมายซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพวกอสูรกายน่าเกลียด น่ากลัว สองตัวบาท
พวกหนึ่งนั้นมี 3 ตน ร่างกายใหญ่โตกว่าภูเขา มีมือ100 มือ และมีหัว 50 หัว มีชื่อว่า
Cottus, Briareus, Gyges
และได้ให้กำเนิด ยักษ์ตาเดียว-Cyclop(ไซคลอปส์) 3 ตน ชื่อว่า
Brontes(ฟ้าลั่น), Steropes(ฟ้าแลบ), Arges(แสงสว่างวาบ) และพวกสุดท้ายคือเทพไตตัน-Titans 12 องค์ แม้จะมีร่างกายไม่ประหลาดเท่าไรแต่ว่าก็ใหญ่โตกว่ามนุษย์ธรรมดามาก และมีกำลังมหาศาล ได้แก่
เหล่าเทพ Oceanus,Coeus,Crius,Hyperion,Lapetus,Cronus
และเทพี Theia,Rhea,Themis,Thethys,Nemosyme,Phoebe Ouranos นั้นรังเกียจลูก ๆที่น่าเกลียดเหล่านี้มาก ก็จับพวกที่มีหัวเยอะไปขังไว้ในคุกที่ลึกที่สุดของโลกTartarus (เหวลึกใต้บาดาล) และจองจำไว้ ส่วนอีกสองพวกที่เหลือปล่อยให้เดินไปมาในโลกได้โดยไม่ให้ความใยดี Gaea นั้นทรงพิโรธมากที่สวรรค์ทำกับลูก ๆดังนั้น พระองค์ได้ออกไปปลุกปั่นลูก ๆให้ลุกขึ้นสู้ แต่ว่ามีเทพไตตันเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่กล้าหาญพอคือ โครโนส (เทพแห่งกาลเวลา) หรือชื่อในภาษาลาตินว่า Saturn {เป็นที่มาของชื่อดาวเสาร์ Saturn} Gaea จึงปลดปล่อย และมอบเคียว ที่ทำจากวัสดุที่เรียกว่า Adamant ซึ่งเชื่อว่าแข็งแรงที่สุด ให้เป็นอาวุธ(ดาวเสาร์จึงมีวงแหวน)
แล้วส่งกลับขึ้นสวรรค์ โครนัสจึงถืออาวุธเข้าจู่โจมยูเรนัสโดยไม่ให้รู้ตัว โดยไปดักรอบิดาของตนเองอยู่แล้วก็จ้วงแทง เลือดของOuranos ที่ไหลออกมาได้มีอสูรน่าเกลียดผุดขึ้นมาด้วย 3 ตัวคือ Erinyes หน้าที่ของเอรินเยสคือการลงทัณฑ์คนชั่วทั้งหลาย แล้วจับยูเรนัสมัดไว้
(บางตำราว่า ตามแผนของจี โครโนสจะต้องรอจนกว่ายูเรนัสจะมาสมสู่กับจี เมื่อ ยูเรนัส มาโครโนส ซึ่งอยู่ในท้อง (คาดว่าหมายถึงมดลูกนะครับ) ก็จะต้องใช้มีดตัดอวัยวะเพศของยูเรนัส แล้วพาพี่น้องหนีกันออกมา แน่นอนครับ ว่าสำเร็จตามแผน เมื่อออกมาแล้ว โครโนส ก็นำอวัยวะของพ่อไปทิ้งทะเล เมื่อตกโดนทะเล ก็มีฟองเกิดขึ้นมากมาย และในท่ามกลางฟองนั้นก็มีเทพเจ้าอีกคนถือกำเนิดขึ้นมา คือ Aphrodite นั้นเอง (จริงๆ แล้ว ในภาษากรีก คำว่า Aphrodite แปลว่า เกิดจากฟอง) และด้วยเหตุนี้ Aphrodite จึงเป็นเทพีแห่งความรัก และ ตัญหา {เป็นที่มาของคำภาษาอังกฤษ aphrodisiac ที่แปลว่า ยาปลุกอารมณ์ทางเพศ}
ยูเรนัสโกรธ จึงสาปแช่งให้โครนัสถูกแย่งชิงอำนาจโดยลูกของตัวเอง
เมื่อโครนัสขึ้นเป็นใหญ่ ได้อภิเษก Rhea เป็นชายา และได้มอบหมายตำแหน่งต่างๆให้เหล่าพี่น้องไทแทนครอบครอง เช่น
Oceanus {เป็นรากศัพท์ของคำว่า Ocean มหาสมุทร}และ Thetis ปกครองมหาสมุทรและแม่น้ำ
Hyperion ครองวิถีโคจรของตะวัน มีชายา คือ Theia มีบุตรธิดา 3 องค์คือ Helios (ตะวัน){เป็นที่มาของธาตุลำดับที่ 2 Helium ค้นพบโดย Sir Norman Lockyer จากแถบสีเหลืองในสเปคตรัมของสุริยุปราคาเต็มดวงของดวงอาทิตย์}, Eos (รุ่งอรุณ มีชายาคือ Tithonus) และ Selene(จันทรา)
Phoebe ครองวิถีโคจรของจันทรา เป็นสวามีของ Coeus มารดาของ Leto มีหลานคือ Apollo, Artemis และAsteria
Nemosyme เป็นเทพแห่งความทรงจำ{เป็นรากศัพท์ของคำในภาษาอังกฤษ Mnemonic ที่แปลว่าอุปกรณ์หรือวิธีช่วยจำ}
Themis เป็นเทพแห่งความยุติธรรม เมื่อโครโนสได้ปกครองโลก อสุรกายต่าง ๆถูกขับออกไปจากโลก เหลือไว้เพียงแต่เอรินเยส ซึ่งก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากกินแล้วก็นอน (เหมือนใครหว่า)
ต่อมาเวลาผ่านไปไม่นาน รีอา ก็ท้อง แต่ โครนัสนึกถึงคำสาปของยูเรนัส
เมื่อลูกของตนคลอดออกมาจึงจับกลืนลงท้องเสียและกินลูกของตนทั้งหมด 5 คนที่คลอดออกมาตามลำดับ ซึ่งโครโนสก็กลืนลงท้องไปหมดเพราะว่ากลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยว่าลูกจะมาฆ่าตัวเอง พอถึงคนที่ 6 คือ Zeus (เทพแห่งสวรรค์ ท้องฟ้า ) หรือชื่อในภาษาลาตินว่า Jupiter {เป็นที่มาของชื่อดาวพฤหัส Jupiter} รีอาก็เอาไปซ่อนและก็เอาก้อนหินห่อผ้าไปให้โครโนสแทน โครโนสเมื่อเห็นห่อผ้าก็ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม กลืนลงท้องไปเสร็จสรรพ
แล้วรีอาได้เอาทารก Zeus ออกมาจากที่ซ่อนแล้วไปฝากให้นางอัปสร Nereids ธิดาของเทพ Nereus
และให้พวก Curetes สาวกของตนไปเป็นอาจารย์อบรมสั่งสอนซุส
นางอัปสรได้พาทารกซุสไปซ่อนในถ้ำบนยอดเขา Ida และมอบหมายให้นาง Amalthea บุตรสาวของ Melissus เจ้าครองเกาะครีตเลี้ยง
นาง Amalthea ได้เลี้ยงซุสด้วยนมแพะ และเนื้อ จาก เขาควายวิเศษที่ผลิตอาหารได้ไม่มีวันหมด Cornucopia (Horn of plenty ที่เป็นที่มาของคำว่า cornucopia ที่หมายถึงภาชนะสานรูปกรวย สำหรับใส่ดอกไม้ ผลไม้ หรือธัญพืช เพึ่อเป็นเครึ่องประดับ ตกแต่ง ในเทศกาลต่างๆ โดยเฉพาะวัน Thanksgiving ) ในขณะที่ซุสยังคงเป็นทารกส่งเสียงร้องไห้ตามประสาเด็กแบเบาะ
พวก Curetes ที่เป็นอาจารย์ก็ร้องรำทำเพลงส่งเสียงเอะอะกลบเสียงร้องของทารกซุส
จนกระทั่งซุสได้เติบโตขึ้นมา
อยู่มาวันหนึ่ง โครนัสรู้ว่ามีบุตรของตนรอดชีวิตอยู่จึงคิดกำจัด แต่ซุสก็ฉวยโอกาสจู่โจมก่อนทันที
พ่อลูกต่างต่อสู้จนกระทั่งโครนัสแพ้ ซุสจึงขึ้นเป็นใหญ่แทนและคิดช่วยเหลือพี่น้องของตนออกมาจากท้องของโครนัสพ่อของตน
จึงปรึกษาเจ้าแม่รีอา เจ้าแม่รีอาได้นำน้ำสำรอกที่นาง metis ธิดาของ Oceanusให้มาเพื่อให้โครนัสดื่มสำรอกลูกๆออกมาจนหมด
เมื่อโครนัสดื่มได้สำรอกลูกของตนเองออกมาได้แก่ Poseidon, Hades, Hestia, Demeter, Hera นอกจากนี้โครโนสยังสำรอกก้อนหินออกมาด้วย บนวิหารเดลฟีเมื่อก่อนคริตศวรรษที่ 160 ยังมีบันทึกนักเดินทางพบว่านักบวชที่นั่นรักษาหินก้อนหนึ่งประดุจชีวิต ขัดถูกมันทุกวันด้วยน้ำมันหอม เพราะเชื่อว่านี่คือตัวแทนที่ถูกกลืนลงท้องไปแทนซุส
ซุส ได้มอบหมายให้พี่น้องของตนดำรงตำแหน่งเทพเจ้าผู้ดูแลสิ่งต่างๆ ในโลก
Hestia(Vesta) เป็นเทพีแห่งเตาไฟ ทำหน้าที่พิทักษ์ชีวิตมนุษย์และบ้านเรือน
Demeter(Ceres) เป็นเทพีแห่งการเกษตรและเพาะปลูก เป็นเทพีที่อ่อนหวานใจดี จนใครๆก็รัก มีลูกสาวคือ Persephone เทพีแห่งฤดูใบไม้ร่วง
และ Zeus ได้เลือก Hera หรือในชื่อลาตินว่า Juno {เป็นที่มาของชื่อเดือนJune มิถุนายน} เป็นคู่ครองของตน
เมื่อซุสได้เป็นใหญ่ เทพไทแทนบางองค์ ที่ฉลาดก็ยอมอยู่ใต้อำนาจของซุส เช่น Nemosyme, Themis, Oceanus, Hyperion
แต่เทพไทแทนบางองค์(ลุงป้าน้าอาของซุส)ก็ไม่ยอม จึงเกิดศึกใหญ่ขึ้น
ซุสเห็นเหล่าเทพไทแทนมีจำนวนมากกว่าและมีกำลังมหาศาล จึงไปช่วยปลดปล่อย พวก Cyclopes ทั้งสามตนขึ้นมาจากนรก และเพื่อเป็นการตอบแทน Cyclopes ก็มอบของรางวัลเป็น สายฟ้าให้ Zeus หมวกเกราะให้ Hades และ สามง่ามให้ Poseidon แล้วให้มาเป็นลูกมือ Hephaestus ช่วยตีเหล็กอยู่ใต้ภูเขาไฟเอทนา รบกันอยู่ 10 ปี เหล่าเทพไทแทน จึงยอมแพ้ต่อซุส บางองค์ถูกทิ้งในทาร์ทารัส ส่วนโครนัสหนีไปแคว้นเฮสเพอเรีย ต่อมาเจ้าแม่จีโกรธซุส ที่เป็นใหญ่แทนลูกของพระองค์ จึงเนรมิตอสูร นาม Typon {เป็นที่มาของชื่อพายุใต้ฝุ่น ทางทะเลจีนใต้}เป็นยักษ์มีหัวเป็นมังกร 100 หัว มีเปลวไฟแลบออกจากตาจมูกปาก ส่งเสียงกัมปนาท เหล่าเทพต่างพากันกลัว จึงกลายร่างเป็นสัตว์ต่างๆ หลบหนีออกจากเขาโอลิมปัส ไปอยู่อิยิปต์ เช่น ซุสแปลงเป็นแกะ เฮราเป็นนางโค วันหนึ่งซุส นึกถึงศักดิ์ศรีของตนจึงกลับมาสู้กับ Typhon จนชนะ เจ้าแม่จีจึงเนรมิตยักษ์ร้ายที่ชื่อ Enceladus ซุสได้ต่อสู้กับยักษ์จนชนะ และจับเอนโซลาดัส ล่ามโซ่กักขังไว้ใต้ภูเขาไฟเอทนา และลงโทษพวกไตตันและอสูรทั้งหมดถูกจองจำในส่วนลึกที่สุดของโลกและมีทัณฑ์ทรมานกำกับอยู่ ที่เรารู้จักกันดีคือ Atlas{เป็นที่มาของคำว่า สมุดแผนที่ Atlas} บุตรของ Iapetus ที่ถูกลงโทษให้แบกโลกและสวรรค์ไว้ตราบนานเท่านาน
หลังจากเสร็จศึกยักษ์ สววรค์ก็กลับเป็นปกติตามเดิม วันดีคืนดี ซุสได้มีบัญชาให้โพรมิธุส Promethius{เป็นที่มาของชื่อธาตุลำดับที่ 61 Promethium ที่กลุ่มนักเคมีอเมริกันที่โอ๊คริดจ์ค้นพบจากซากเชื้อเพลิงของยูเรเนี่ยมในเตาปฏิกรณ์ปรมาณู}และเอพิมิธุส(สองพี่น้องบุตรของ lapetus) สร้างมนุษย์และสรรพสัตว์ เอพิมีติอุสก็รีบเอาหน้า จัดแจงสร้างสัตว์ต่าง ๆไปก่อนเลย โดยให้พรแต่สิ่งดี ๆไปหมด ให้มีขนให้บินได้ให้มีเขี้ยวเล็บที่แข็งแกร่งให้ว่ายน้ำได้และอื่น ๆอีกมาก พอมาถึงมนุษย์ก็ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้วที่เอพีมีติอุสจะให้แก่มนุษย์ได้ เอพิมิธุสจึงปรึกษาโพรมิธุสผู้พี่(ผู้เปี่ยมไปด้วยปัญญาและความปราณี) ในเมื่อพรทั้งหลายก็ได้ยกให้สัตว์นานาชนิดไปจนหมดแล้ว โพรมิธุสจึงรับภาระสร้างมนุษย์ผู้ชายเอง โดยสร้างให้มีรูปร่างเหมือนเทพเจ้า, สอนวิธีขโมยไฟจากดวงอาทิตย์{การจุดคบเพลิงในกีฬาโอลิมปิค จึงใช้เลนส์รวมแสงอาทิตย์มาจุดไฟคบเพลิง} เพื่อเป็นเครื่องป้องกันตัวดีกว่าสัตว์อื่น ๆ ทั้งมวล และมอบสติปัญญาให้มนุษย์ โดยเมื่อซุสเรียกเอาบรรณาการจากมนุษย์ โปรมีติอุสก็สอนให้มนุษย์เล่นกล โดยฆ่าวัวแล้วตัดเอาเนื้อออกแล้วห่ออย่างน่าเกลียด ส่วนกองกระดูกก็เอาไขมันมาหุ้มไว้ทำให้สวยงาม และให้ซุสเลือกว่าพระองค์ต้องการห่อไหน ซุสเห็นไขมันมีประกายขาวงามก็เลยห่อนั้น และจากนั้นมาก็เป็นพันธสัญญากันว่ามนุษย์จะได้เนื้อไปกินส่วนไขมันนั้นใช้บูชาเทพ ซุสไปเปิดห่อเห็นกระดูกเต็มไปหมดก็แค้นจัดซ้ำสอง หลังจากที่โมโหโปรมีติอุสที่มาขโมยไฟไปแล้วหนหนึ่ง และไม่มีเสียล่ะที่พระองค์จะอยู่เฉย ๆโดยไม่แก้แค้น พระองค์บัญชาให้ Hephaestus สร้างผู้หญิงขึ้นมาหนึ่งคน นับเป็นผู้หญิงคนแรกของโลก เทพต่าง ๆพากันอวยพรนานาให้แก่หญิงผู้นั้นและเป็นที่มาของชื่อ Pandora ที่แปลว่า the gift of all ซุสรอให้เทพอื่น ๆออกไปหมดแล้ว ก็ประทานหีบทองเล็ก ๆที่บรรจุความชั่วร้ายทั้งปวง ให้แพนโดรา 1 ใบ และสั่งว่าในกล่องใบนี้มีแต่สิ่งชั่วร้ายเลวทราม ห้ามเปิดอย่างเด็ดขาด และส่งเธอไปแต่งงานกับเอพิมีติอุส แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอก็เปิดกล่องใบนั้นแล้วความชั่วร้ายและความทุกข์ยากทั้งหลายก็หนีออกจากกล่องอย่างรวดเร็วแพร่กระจายไปในโลกมนุษย์ และสิ่งสุดท้ายที่อยู่ก้นหีบ ค่อยๆลอยออกมาก็คือ ความหวัง(มิน่า ตำรวจหรืออัศวินม้าขาว มักจะมาที่หลังเสมอ ต้องรอให้คนเลวหนีไปก่อน) ส่วนโปรมีติอุส บิดาแห่งมนุษย์ก็ถูกลงโทษอย่างสาหัส ถูกนำไปไว้ที่เชิงเขาคอเคซัสและผูกไว้กับก้อนหิน ให้นกอินทรีมากินเนื้อ ที่ทำเช่นนี้มิใช่เพราะความแค้นอย่างเดียวแต่ซุสต้องการจะรีดความลับจากโปรมีติอุส ผู้ล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าบ่อยๆ ซุสจะส่งคนไปถามว่าจุดจบของตนเองคืออะไร ใครจะเกิดมาเพื่อล้มล้างตนเอง แต่โปรมีติอุสไม่เคยตอบ ไม่ยอมแม้ฑัณฑ์ทรมานจะเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นก็ตาม ตำนานที่เล่าภายหลังเล่าว่า ซุสมีเงื่อนไขคือคำสาปที่มีต่อโปรมีติอุสนั้นจะหลุดไปได้ก็ต่อเมื่อมีเทพประสงค์จะพลีชีพแทนเขาเท่านั้น ต่อมามีเซนทอร์ คนครึ่งม้าตัวหนึ่งชื่อว่า ไครอน (เซนทอร์นี้มีศักดิ์เป็นเทพเหมือนกัน) ยอมสละชีพให้ หลังจากนั้น เฮอร์คิวรีสก็ฆ่าเหยี่ยวและปลดปล่อยโปรมีติอุส
เนื่องจากความชั่วร้ายของมนุษย์ที่ได้รับจากหีบแพนโดรา มีมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนซุสกริ้ว จึงบันดาลให้ฝนตกจนน้ำท่วมโลก แต่เทพเจ้าได้ช่วยเหลือผัวเมียคนดี 2 คน คือ ดูเคเลียน บุตรชายของโพรมิธุส กับ เพอร์รา ธิดาของเอพิมิธุส กับแพนโดรา โดยบอกให้อพยพไปอาศัยบนยอดเขาพาร์นาซัส จนกระทั่งน้ำลด จากคำทำนายที่วิหารเดลฟี ทั้งสองคนได้สร้างมนุษย์จากก้อนหินที่โยนข้ามไปข้างหลัง ต่อมาทั้งสองได้ให้กำเนิดบุตรชายชื่อ เฮเลน Helen ซึ่งเป็นต้นตระกูลของชาวกรีกทั้งมวล
ลูกๆของซุส
Asteria
Hebe (ฮีบี) เทพีแห่งความหนุ่มสาว ธิดาองค์โตของซุสกับเฮรา ภายหลังเธอสมรสกับเฮอร์คิวลิส (Hercules)
Ilithyia (อิลลิเทียยา) เทพีแห่งการให้กำเนิด ธิดาองค์รองของซุสกับเฮรา
Hephaestus หรือในชื่อลาตินว่า Valcanus {เป็นที่มาของคำว่า ภูเขาไฟ Valcano } เทพแห่งไฟและการตีเหล็ก เป็นช่างตีเหล็กผู้ทำอาวุธให้เทพเจ้าและสร้างวิหารต่างๆให้เทพเจ้าบนเขาโอลิมปัส อาศัยอยู่ใต้ภูเขาไฟเอธนา มีหน้าตาอัปลักษณ์และขาพิการ เป็นผู้สร้างนางแพนโดรา มี Aphrodite เป็นชายา และมีบุตรคือ Cupid
Eros(Cupid) เทพแห่งความรัก(กามเทพ) บุตรแห่ง Aphrodite แต่งงานกับนาง Psyche
นาง Psyche ได้ชื่อว่าเป็นหญิงงามที่สุดในหมู่มวลมนุษย์ จนเสียงเล่าลือมาเข้าหูเทพี Aphrodite(Venus) เทพีที่งามที่สุดในจักรวาล เมื่อได้ยินว่ามีหญิงสาวที่งามกว่าตน ป้าวีนัส จึงสั่งให้ลูกของตน คือ Cupid ไปยิงศรกามเทพ ให้นางไซคี ไปหลงรักกับชายที่อัปลักษณ์ที่สุดในโลก ด้วยความที่ คิวปิด เป็นเด็กว่าง่าย จึงไปตามคำบัญชาของเสด็จแม่ แต่พอ คิวปิด ได้ไปสบพักตร์กับนาง ไซคี ก็เกิดรักแรกพบ ในทันใด เกิดอาการตกตะลึง ทำอะไรไม่ถูก มือไม้สั่น จนไปถูกพิษรักแห่งศรกามเทพของตนเอง เมื่อถึงกลางคืน เทพคิวปิด ก็เข้าหา นางไซคี และตกลงเป็นผัวเมียกัน โดยมีข้อแม้ว่า คิวปิดจะมาหาทุกๆคืน แต่นางจะต้องไม่เห็นหน้าพระสวามีเป็นอันขาด เพื่อไม่ให้เรื่องรักพลิกล็อคล่วงรู้ไปถึงป้าวีนัส เสด็จแม่ของคิวปิด หลายเดือนผ่านไป พี่สาวโสดขี้อิจฉา(มีคนขี้อิจฉาเยอะแฮะ)ก็ยุแหย่ว่าที่พระสวามีมีหน้าตาอัปลักษณ์ จึงไม่ต้องการให้นางเห็นหน้า นางไซคีจึงสงสัย และพิสูจน์โดยการแอบเอาเทียนไขไปส่องดูหน้าพระสวามี (แต่น แตน แต้น) นางก็พบว่าพระสวามีที่แท้เป็นเทพหนุ่มรูปงาม เทพคิวปิดโกรธที่นางหูเบาหลงเชื่อพี่สาว และผิดสัญญาที่ได้รับปากไว้ เทพคิวปิดจึงละทิ้งนางทันที นางทนเหงาไม่ไหว จึงไปวิหารเดลฟี และได้รับคำแนะนำให้ ไปผจญภัยเพื่อพิสูจน์ความรัก ต้องผ่านการทดสอบหฤโหดต่างๆจากป้าวีนัส(แม่สามี) จนครบและได้ครองรักกับคิวปิดในที่สุด นาง Psyche เป็นสัญลักษณ์แทนวิญญาณของมนุษย์ ที่ในยามมีชีวิตอยู่ ต้องทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ เมื่อตายไปก็สลัดร่างขึ้นสู่สรวงสวรรค์(เหมือนกับหนอนดักแด้สลัดร่างเดิมกลายเป็นผีเสื้อที่แสนสวย) กลายเป็นเทพธิดาที่มีปีกเป็นผีเสื้อ และครองคู่กับ Cupid เทพบุตรในร่างของทารกมีปีกนก และศรกามเทพ และนำไปใช้เป็นคำกรีกที่มีความหมายว่า วิญญาณหรือจิต {เป็นที่มาของ Psychology(จิตวิทยา) และ Psychiatrist(จิตแพทย์)}
นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า การใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง (เมื่อรักกัน ก็ต้องเชื่อใจกัน แกล้งทำตาบอด หูหนวก เป็นใบ้บ้าง ก็ไม่เสียหลาย)
Athena(Minerva) เทพีแห่งสงคราม, ปัญญาและคุณธรรม เป็นเทพีประจำกรุงเอเธนส์ สวมชุดเกราะและมีโล่ห์ Aegis ที่ทำด้วยหนังแพะและมีหัวเมดูซ่าอยู่ตรงกลาง รักษาพรหมจรรย์ ไม่แต่งงานกับใคร มีอารมณ์รุนแรง แต่ฉลาด มีสัญลักษณ์คือ ต้นมะกอกน้ำ(Olive) และนกฮูก ธิดาของซุสกับ Metis (ธิดาของ Oceanus)
ขณะที่นางเมตีส กำลังตั้งครรภ์ เสด็จย่า Ge ก็ทำนายว่า เมตีส จะมีโอรสและธิดา อย่างละองค์ องค์แรกเป็นเทพธิดา องค์ที่ 2 เป็นเทพบุตร โดยเทพบุตรองค์ที่ 2 จะมาโค่นบังลังค์ของ ซุส เหมือนที่ซุสโค่นบังลังค์ของโครโนสมาแล้ว ซุสก็ออกตามหาเมตีส ที่รู้แกว แอบหนีไปซ่อนตัวเสียก่อน เมื่อซุสค้นหานางเมตีสจนพบ ก็กลืนนางเมตีสเข้าท้องหมดทั้งตัว ต่อมาไม่นาน ซุสก็เกิดอาการปวดศรีษะอย่างแรง กินยาแก้ปวดขนานไหนๆก็ไม่หาย ร้องครวญครางเสียงดังไปทั้งเขาโอลิมปัส เทพเฮอร์เมสไดยินเสียงจึงรีบไปสอบถามอาการโดยด่วน และรีบไปตามเทพ Hephaestus เทพแห่งการตีเหล็กมาทันที เนื่องจากอาการรุนแรงเกินกว่าจะรักษาด้วยยาใดๆ เทพเฮปเฟสตุส ก็เอาเลื่อยมาเลื่อยเปิดกระโหลกศรีษะเทพซุสออก ทันใดนั้น เทพธิดาเอธีน่า ก็กระโดดออกมาจากศรีษะของเทพซุส
นิทานเรื่องนี้ สอนว่า อย่ายัดอะไรก็ตามเข้าปากโดยไม่พินิจพิจารณาก่อน อันตรายมาจากปากของคุณเอง
Persephone เทพีแห่งบาดาลและฤดูใบไม้ร่วง บุตรสาวของซุสกับ ดีมีเตอร์
Persephone เป็นเทพธิดาสาวสวยแสนน่ารัก มีรูปโฉมงดงามเลื่องลือไปถึงเมืองบาดาล จนกระทั่งฮาเดสใช้ให้บริวารไปวาดรูปหล่อนมาให้ดู เมื่อฮาเดสเห็นรูปก็หลงรักในทันใด จึงรีบรุดออกจากเมืองบาดาลเพื่อตามหาหัวใจที่หลุดลอย(ว่าเข้าไปนั่น) ในขณะนั้นเอง เธอ กับ Oceanids กำลังเก็บดอกไม้ในทุ่ง Enna ทันใดนั้นแผ่นดินก็แยกออก และฮาเดสก็กระโดดขึ้นมาจากรอยแยกนั้นและลักพาตัวหล่อนไป โดยซุสหรือใครก็ตามไม่ทันสังเกตเห็น เมื่อลูกสาวของตนหายตัวไปจากสวรรค์โดยไร้ร่องรอย ดีมิเตอร์แม่ผู้หัวใจแหลกสลายก็ออกตามหาลูกสาวของตนบนโลกมนุษย์ แต่หาเท่าใดก็หาไม่พบ จนกระทั่ง Helios ผู้แลเห็นทุกสิ่งได้เปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ดีมิเตอร์ฟัง ดีมิเตอร์ได้ยินว่าฮาเดสมาลักพาตัวลูกสาวของเธอไป ก็โกรธมาก เลยหนีไปซ่อนตัวไม่ยอมดูแลสิ่งมีชีวิตต่างๆในธรรมชาติให้เติบโตเหมือนเดิม จนในที่สุดซุสก็ส่ง เฮอร์เมสลงไปหาฮาเดสในเมืองบาดาล เพื่อพูดจาให้ฮาเดสยอมปล่อย เพอเซโฟเน่กลับไปหาแม่ของเธอ เฮอร์ก็พูดจาโน้มน้าวชักแม่น้ำทั้งห้า(เล่นสำนวนรามเกียรติ์เลยแฮะ)จนฮาเดสยินยอมอย่างไม่เต็มใจพร้อมมีข้อแม้ข้อหนึ่งคือ(ว่าแล้วมั๊ยล่ะ ต้องมีเงื่อนไขแหงๆ) ต้องให้เพอเซโฟเน่ทานผลทับทิมวิเศษเสี่ยงทาย(มีอำนาจที่ทำให้ผู้กินรักและผูกพันธ์กับผู้ปลูก) เพอเซโฟเน่ได้เลือกกินเมล็ดทับทิมไป 4 เมล็ด ดังนั้น ทุกๆปี เพอเซโฟเน่จะกลับสู่โลกมนุษย์ 8 เดือนเพื่ออยู่กับแม่ของหล่อน และและไปอยู่ในนรก 4 เดือนเพื่ออยู่กับสามีของหล่อน เมื่อเพอเซโฟเน่อยู่กับฮาเดสที่ใต้บาดาล ดีมิเตอร์ก็เอาแต่เศร้าโศก ไม่ทำหน้าที่ดูแลพืชพันธ์ให้เจริญเติบโตเหมือนเคย นี่เองเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดฤดูหนาว
นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า บางครั้งฤดูกาลทั้งหลายเกิดจากความสดชื่นแจ่มใส และความเศร้าโศก ภายในจิตใจของเราเอง
Muse เทพธิดา 9 องค์ บุตรสาวของซุสกับเนโมซินี เป็นครูผู้สร้างศิลปะ {เป็นที่มาของคำว่า Musium พิพิธภัณฑ์}ประกอบด้วย Clio(ประวัติศาสตร์), Urania(ดาราศาสตร์), Melpomene(โศกนาฏกรรม), Thalia(สุขนาฏกรรม), Terpsichore(ระบำ), Calliope(มหากาพย์), Erato(กวีนิพนธ์เกี่ยวกับความรัก), Polyhymnia(เพลงสรรเสริญเทพเจ้า), Euterpe(กวีนิพนธ์ที่ใช้ดนตรีประกอบ)
Orpheus (ออฟีอุส) เป็นบุตรชายของ Apollo กับ Calliope เป็นผู้มีความสามารถในการร้องเพลงและเป่าขลุ่ยเป็นเลิศ ถึงกับขนาดที่ก้อนหินและต้นไม้ เมื่อได้ยินเพลงจาก Orpheus ก็จะเต้นรำกันทีเดียว Orpheus มีภรรยา ชื่อ Eurydice (ยูไรดิซ) ผู้ซึ่งต้องมาด่วนตายจากไปเพราะโดนงูกัด ทว่าเนื่องด้วยความรักที่มีให้ Eurydice อย่างเต็มเปี่ยม Orpheus ก็เดินทางไปยังนรกเพื่อที่จะเอา Eurydice กลับคืนมา ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่เคยมีผู้ใด แม้กระทั้ง Zeus เอง สามารถที่จะทำให้ฮาเดส เทพเจ้าแห่งบาดาลใจอ่อน ยอมให้คนที่ตายแล้วฝื้นได้
เมื่อถึงนรก Orpheus ก็อ้อนวอนขอฮาเดสตามที่ตั้งใจเอาไว้ แน่นอนครับ ว่าขอธรรมดาต้องไม่ได้ผลแน่ Orpheus จึงขอด้วยการร้องเพลง ซึ่งคาดว่าคงจะไพเราะมาก ถึงขนาดฮาเดส ผู้มีจิตใจแข่งแกร่งยังต้องสงสาร ยอมให้ Orpheus พา Eurydice กลับไปได้ แต่มีข้อแม้เพียงข้อเดียว คือ Orpheus จะต้องเดินนำ Eurydice ออกไปจากนรก และ เดินไปจนถึงบ้านบนโลกมนุษย์ โดยไม่หันกลับมามอง Eurydice แม้แต่ครั้งเดียว เมื่อรับคำแล้วทั้งสองก็ออกเดิน Orpheus ต้องพยายามอย่างมากที่จะไม่หันกลับมามอง ภรรยาของตน ซึ่งเดิมตามมาข้างหลังเงียบ ๆ แล้วความพยายามที่ทำมาทั้งหมดก็หมดความหมาย เมื่อทั้งสองเดินไปใกล้ถึงทางออกจากนรก Orpheus หันกลับไปมอง Eurydice โดยไม่ทันคิด เพราะความเป็นห่วง ความตายจะไม่ยกโทษให้ใครเป็นครั้งที่สอง สาเหตุเพราะ Orpheus เกิดลืมตัวชั่ววูบ ผิดสัญญาที่ให้ไว้กับฮาเดส Eurydice จึงต้องถูกดึงตัวกลับไปสู่โลกแห่งความตาย เช่นเดิม แม้ความรัก ยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ไม่สามารถที่จะเอาชนะความตายได้ ความเศร้าของ Orpheus ถูกกลั่นออกมาเป็นบทเพลงริมแม่น้ำ Styx (สติกซ์) ที่วิญญาณทุกดวงได้ยิน ขณะข้ามแม่น้ำ เมื่อเดินทางไปนรก เศร้าและไพเราะในเวลาเดียวกันจนต้นไม้เกิด และเติบโตขึ้นมาที่ริมแม่น้ำแห่งความตาย เพียงเพื่อที่จะได้ฟังเพลงที่บรรเลงโดย ความเสียใจของ Orpheus
Horae(The seasons) เทพธิดา 3 องค์ บุตรสาวของซุสกับธีมิส ทำหน้าที่เป็นประธานในงานฉลองต่างๆ เช่น ในพิธีกีฬาโอลิมปิค ประกอบด้วย Eunomia(กฏข้อบังคับ,Lawfulness), Dike(ความยุติธรรม,Justice), Eirene(สันติภาพ,Peace)
Graces เทพธิดาแห่งความสง่างาม บริวารของเทพธิดาแห่งความงาม Aphrodite เป็นบุตรสาวของซุส กับ Eurynome พวกเธอจะร่ายรำกับเพลงของเทพอพอลโลเพื่อให้ความสำราญแก่เหล่าเทพทั้งหลาย พวกเธออ่อนเยาว์, สวยงาม, สงบเสงี่ยม และมีความสง่างามอย่างที่สุด ประกอบด้วยเทพธิดา 3 องค์ คือ Aglaea (ความงดงามอย่างวิเศษ), Euphrosyne (ความสนุกสนานรื่นเริง) และ Thalia (ความร่าเริง) บางครั้งก็เรียกพวกเธอว่า Charites
Dionysus(Bacchus, Dendrites{หมายความว่าต้นไม้ ใช้เป็นชื่อของเส้นใยประสาท}) เทพเมรัยและความอุดมสมบูรณ์ เทพประจำเมือง Thebes บุตรของซุสกับ เจ้าหญิงแห่งธีบส์ Semele มีสัญลักษณ์คือ องุ่น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น